Custom Search
##=================================================================## ##=================================================================##

ส่วนประกอบของ COMPUTER

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552

อุปกรณ์ภายนอกเครื่อง PC


อุปกรณ์ภายนอกเครื่อง PC

เป็นส่วนที่เราสามารถมองเห็นได้โดยไม่จำเป็นต้องเปิดเครื่อง ได้แก่ จอภาพ,เคส,คีย์บอร์ด,ลำโพง และเมาส์
-------> 1.จอภาพ(Monitor)ใช้แสดงผลข้อมูลหรือกราฟิกที่ได้จากการประมวลผลจากซีพียู
-------> 2. เคส (Case) ใช้ติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นเมนบอร์ด ฮาร์ดดิสก์ ซีดีรอม ฟล็อปปี้ดิสก์ การ์ดต่างๆ เป็นต้น
-------> 3.คีย์บอร์ด(Keyboard)ใช้ป้อนข้อมูลหรือคำสั่งต่างๆเข้าสู่เครื่องพีซี
-------> 4. เมาส์ (Mouse) เป็นอุปกรณ์ช่วยอำนวยความสะดวกในการเลือกคำสั่งหรือเลื่อนเคอร์เซอร์ไปยังตำแหน่งที่ต้องการ
-------> 5.ลำโพง(Speaker)เป็นอุปกรณ์ที่ใช้แสดงเสียงจากสื่อมัลติมีเดียต่างๆ

ส่วนประกอบภายในของเครื่อง PC
เมื่อเปิดฝาครอบเครื่อง PC ออกมา จะพบว่าภายในจะมีแผ่นวงจร และอุปกรณ์ติดตั้งอยู่ในตำแหน่งต่างๆรวมไปถึงสายไฟ และสายสัญญาณที่เชื่อมต่อตามจุดต่างๆต่อไปนี้มาทำความรู้จักกับชิ้นส่วนต่างๆภายในเครื่อง PC ว่าแต่ละส่วนเรียกว่าอะไรและทำหน้าที่อย่างไร



1. ซีพียู (CPU) เป็นสมองของคอมพิวเตอร์ ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลและควบคุมการทำงานของระบบ ประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการทำงานของเครื่องจะขึ้นอยู่กับซีพียู เป็นหลัก ดังนั้น ซีพียูจึงเป็นชิ้นส่วนที่สำคัญที่สุดและก็แพงที่สุดด้วย

2. แรม (RAM) ใช้เก็บข้อมูลและโปรแกรมที่กำลังใช้งานอยู่ เพื่อรอส่งให้กับซีพียูใช้ประมวลผลโดยจะเป็นการเก็บข้อมูลเพียงชั่วคราวเท่านั้นถ้าปิดเครื่องข้อมูลก็จะหายทันที

3. เมนบอร์ด (Mainboard) เป็นแผงวงจรขนาดใหญ่ที่ใช้ติดตั้ง และเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นซีพียู แรม ฮาร์ดดิสก์ ซาวน์การ์ด เป็นต้น เหมือนกับศูนย์กลางการติดต่อระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ

4. ฮาร์ดดิสก์ (Harddisk) ใช้เก็บข้อมูลขนาดใหญ่ได้อย่างถาวร นอกจากจะใช้เก็บข้อมูลแล้วฮาร์ดดิสก์ยังเป็นส่วนที่ใช้เก็บระบบปฏิบัติการรวมไปถึงโปรแกรมต่างๆอีกด้วย

5. ซีดีรอมไดรว์ (CD-ROM Drive) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้อ่านข้อมูลจากแผ่นซีดีรูปแบบต่างๆไม่ว่าจะเป็นแผ่นโปรแกรมแผ่นเพลงและแผ่นหนัง

6. ฟล็อปปี้ดิสก์ไดรว์ (Floppy Disk Drive) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้อ่าน/เขียนแผ่น Floppy Disk ที่ใช้เก็บข้อมูลขนาดเล็กซึ่งมีความจุเพียง1.44MBเหมาะสำหรับโอนถ่ายข้อมูลขนาดเล็กหรือใช้ทำแผ่นบู๊ต 7. ช่องขยาย (Expansion Slot) เป็นช่องต่อเติมที่ใช้ติดตั้งการ์ดชนิดต่างๆ อย่างเช่น ซาวน์การ์ด การ์ดแลน การ์ดจอภาพ เป็นต้น ในปัจจุบันจะมีอยู่ 3 ชนิดได้แก่ ISA, PCI และ AGP

8. แหล่งจ่ายไฟ (Power Supply) อุปกรณ์ที่ใช้จ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ต่างๆภายในเครื่อง จะเห็นว่าจะมีสายไฟจากเพาเวอร์ซัพพลายเชื่อมต่อไปยังอุปกรณ์ต่างๆ

Wi-Fi [Wireless Fidelity] ตอน3

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สร้างเครือข่ายส่วนตัวใช้เองดีกว่า ( Wi-Fi ในบ้าน )

สมัยนี้เรื่องการสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์เขากำลังเป็นที่นิยม เพราะเขาเชื่อกันว่าในบ้านสมัยนี้เขามักจะมีคอมพิวเตอร์มากกว่า 1 เครื่องดังนั้นเราก็น่าจะเอาคอมพิวเตอร์ในบ้านทั้งหมด มาต่อเชื่อมกันเพื่อแชร์ทรัพยากรร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น อินเตอร์เน็ตหรือ Printer จะได้ช่วยกันประหยัด หรือเอาแบบ เท่ห์ๆหน่อยก็ ส่ง msn หรือ email ไปเรียก คุณพ่อ หรือคุณ แม่ที่อยู่ชั้นสองให้ลงมาทานข้าวพร้อมกัน ก็ยังได้ หรือหากบ้านไหนอยู่กันเยอะๆก็อาจจะมาเล่นเกมส์ร่วมกันบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ก็ได้
แต่ยุคนี้หากจะสร้างเครือข่ายกันในบ้าน หากยังใช้แบบมีสายอยู่ก็อาจจะดูไม่ค่อยจะสะดวกเท่าไรนัก เพราะต้องเรียกช่างมาเดินสายภายในบ้าน หากเป็นบ้านที่อยู่แล้วก็ยิ่งลำบากใหญ่ ดังนั้นหากเราใช้ Wi-Fi ก็จะทำให้การสร้างเครือข่ายนั้นง่ายขึ้นครับ คล่องตัวมากทีเดียว เราอาจจะเอา Notebook ไปนั่งเล่น อินเตอร์เน็ต กลางสวนหลังบ้านก็ยังได้ อุปกรณ์ที่จำเป็นก็มี Access Point 1 ตัว + USB wireless lan card อีกสัก 2 ตัว


Hot spot คืออะไร? ( Wi-Fi นอกบ้าน )
เดี๋ยวนี้เรามักจะได้ยินคำว่า Hot spot มากขึ้น แล้วเจ้า Hot spot มันมาเกี่ยวโยงอะไรกับ Wi-Fi ได้ไง เดี๋ยวเรามาดูกันครับ ผมขอเกริ่นเล็กๆน้อยๆกันก่อนว่า ในยุคสมัยนี้การที่เราจะเล่น อินเตอร์เน็ตขณะอยู่นอกบ้านนั้นเราสามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ

1. ไปหา
Internet Cafe' อันนี้เป็นวิธีที่ประหยัดที่สุด ค่าใช้จ่ายตกประมาณชั่วโมงละ 30-50 บาทโดยเฉลี่ย แต่มีข้อดีที่ว่าสะดวกง่ายดาย อยากใช้เมื่อไรวิ่งหาร้านจ่ายสตางค์แล้วลุยกันได้เลย แต่ข้อเสียก็มีครับ คือเราไม่สามารถใช้ข้อมูลส่วนตัวที่เราทำงานบนเครื่อง PC ที่บ้านได้ ถึงจะทำได้ก็ค่อนข้างวุ่นวายมากทีเดียว หากลืมไฟล์ไว้ที่ PC ที่บ้านก็จบกัน ส่วนมากจะใช้หาข้อมูลจาก www , เช็ค email หรือ chat เสียมากกว่า และเรื่องของความปลอดภัยในข้อมูลที่เรากรอกไว้ที่เครื่อง PC ในร้านก็ค่อนข้างเสี่ยง และความเร็วของ อินเตอร์เน็ตในแต่ละร้านก็ค่อนข้างจะเอาแน่เอานอนไม่ได้เสียด้วย

2.
ใช้ GPRS โดยนำ Notebook หรือ PDA ต่อ อินเตอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือผ่านระบบ GPRS วิธีนี้ดูเหมือนจะ เดิ้ล มากพอสมควร แบบสามารถใช้งานได้ทุกที่ที่มีคลื่นโทรศัพท์ เรื่องของค่าใช้จ่ายก็จะคิดตามปริมาณข้อมูลรับส่ง หากเป็นการใช้งานบนเครื่อง PDA อาจจะไม่ค่อยรู้สึกเท่าไร แต่หากเป็น Notebook อาจจะค่อนข้างเปลืองมากกว่า แต่ก็นับว่าโชคดีที่สมัยนี้ยังมี GPRS แบบไม่จำกัดปริมาณการใช้งานอยู่เลยทำให้ผู้ที่ได้รับโปรโมชั่นนี้อาจจะไม่ค่อยรู้สึกเท่าไรนัก แต่เรื่องของความเร็วของ GPRS นั้นยังมี speed ที่ประมาณ 40 Kbps

3.Hotspot
เป็นบริการ อินเตอร์เน็ตสาธารณะไร้สายความเร็วสูง ด้วยเทคโนโลยีของ Wireless Lan หรือที่เรียกกันติดปากว่า Wi-Fi ซึ่งในปัจจุบันก็มีให้บริการกันมากขึ้นเรื่อยตามแหล่งชุมชน ต่างๆ เช่น สนามบิน ร้านอาหาร โรงแรม โรงพยาบาล การใช้บริการ Hotspot นี้ อาจจะต้องลงทุนสูงสักนิด เพราะสองสิ่งหลักที่เราต้องมีก็คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ Notebook หรือ PDA และ Wireless Lan card ( ราคาประมาณ 1500-2000 บาท ) แต่หาก Notebook หรือ PDA บางรุ่นมี Wi-Fi ในตัวก็สบายไปหน่อยไม่ต้องไปหาซื้ออุปกรณ์เพิ่ม ข้อดีของการใช้ Wi-Fi ก็คือ สถานที่ที่บริการ อินเตอร์เน็ตสาธาณะที่เรียกกันว่า Hot Spot นี้เขามักจะบริการด้วย อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง แบบเปิดเว็บปุ๊ปมาปั๊ป ค่อนข้างทันใจ และเราสามารถยก office ไปนั้งทำงานตามร้านกาแฟได้อย่างสบายๆ เพราะข้อมูลงานต่างๆของเรานั้นก็เก็บไว้ใน Notebook ของเราอยู่แล้ว แบบประมาณว่าจัดประชุมนัดลูกค้ามาคุยกันนอกสถานที่เลยก็ได้ แต่ Hot Spot ในบ้านเรานั้นเรียกว่ายังใหม่ กิ๊ก อยู่เลยครับ ทำให้อัตราค่าบริการยังค่อนข้างสูงมากทีเดียว แต่บางที่ก็บริการฟรีนะครับ จุดให้บริการก็เริ่มทยอยเปิดกันเรื่อยๆ แต่เรื่อง Hotspot นี้ในบ้านเรานับว่าเป็นสิ่งที่ใหม่มากพอสมควร การใช้งานอาจจะยังขัดๆเขินกันบ้างเล็กน้อย แต่สำหรับในต่างประเทศนั้นมันเป็นสิ่งที่ฮิตมากทีเดียว หากเป็นรางวัลก็ต้องขอมอบรางวัลแบบ ออสการ์ให้ไปเลย เพราะว่ามันเป็นที่นิยมอย่างไม่น่าเชื่อ


Laptop or PDA with built-in wireless LAN capability / Built-in wireless LAN  or Wireless LAN card and laptop or PDA which supports wireless LAN card


Wi-Fi [Wireless Fidelity] ตอน2

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Wi-Fi (Wireless Fidelity) เป็นคำติดปากที่คนนิยมเรียกกัน หรือก็คือ Wireless LAN นั่นเอง Wi-Fi (วายฟาย) เป็นการสื่อสารด้วยระบบไร้สาย บนเทคโนโลยี IEEE 802.11 โดยที่จะทำงานภายใต้คลื่นวิทยุ 2.4 GHz ซึ่งอุปกรณ์ทุกตัวซึ่งต่างยี่ห้อต่างแบรนด์กันนั้น สามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยไม่มีปัญหา ภายใต้มารตฐานเดียวกัน เดิมที Wi-Fi ออกแบบมาใช้สำหรับอุปกรณ์พกพาต่าง ๆ และใช้เครือข่าย LAN เท่านั้น แต่ปัจจุบันนิยมใช้ Wi-Fi เพื่อต่อกับอินเทอร์เน็ต ค้อ อุปกรณ์พกพาต่าง ๆ สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ผ่านอุปกรณ์ที่เรียกว่า "แอคเซสพอยต์" และบริเวณที่ระยะทำการของแอคเซสพอยต์ครอบคลุมเรียกว่า "ฮอตสปอต"

เสริมนิด Wi-Fi ย่อมาจาก Wireless Fidelity เป็น subset ของ Wireless Network
Wireless Network คือการเชื่อมต่อไร้สายทุกชนิดครอบคลุมทั้ง
WPAN= blue tooth,infrared ~10 m
WLAN= 802.11a, b, g (~10-400 m)
WMAN= wimax, etc (~500-5000 m)
WWAN= gprs , gsm (>5000 < วงโคจรดาวเทียม) WPlanet= คลื่นความถี่สูงเพื่อควบคุมยาน หรืออุปกรณ์รีโมต (ระหว่งดวงดาว)

Wi-Fi [Wireless Fidelity] ตอน1

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

หลายคนคงยังสงสัยว่า Wi-Fi คืออะไร เพราะตอนนี้คงจะเริ่มได้ยินก่อนบ่อยกับคำนี้ และได้เห็นผ่านๆตากันบ่อยมากขึ้น โดยเฉพาะใน Computer Notebook เกือบทุกรุ่นในปัจจุบันจะมีคุณสมบัติข้อนี้ติดมาด้วย คือมีการรองรับการใช้งานเจ้าตัว Wi-Fi นี้ด้วย หลายๆคนคงได้ลองใช้งานกันมาบ้างแล้ว แต่ผมคิดว่าอีกหลายคนคงยังไม่รู้ว่า Wi-Fi มันคืออะไร แล้วมันมีไว้ใช้ทำอะไร แล้วมันเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรายังไง เพราะตอนนี้ยังมีปัญหาในเรื่องเขตพื้นที่การให้บริการอย่างจำกัด แต่คิดว่าอีกไม่นานคงจะได้ใช้กันทั่วประเทศ โดยผู้ให้บริการหลักๆตอนนี้ก็คือ True ภายใต้สัญลักษณ์ True Wi-Fi งั้นเรามาทำความรู้จักกับเจ้า Wi-Fi กันครับ

ก่อนที่เราจะมาพูดถึงว่า Wi-Fi มันคืออะไรนั้น เราลองมาทำความเข้าใจกันเล็กๆน้อยเกี่ยวกับเรื่องระบบ Network สักนิดนะครับ การที่ คอมพิวเตอร์หลายๆเครื่องจะมาเชื่อมต่อกัน เพื่อประโยชน์ในการแชร์ ข้อมูลซึ่งกันและกันหรือเอามาแชร์ Internet เพื่อใช้งาน แบบประมาณว่า ต่อ Internet เพียงแค่เครื่องเดียว เครื่องอื่นๆที่อยู่ในเครือข่ายก็สามารถใช้งาน Internet ได้ด้วย ซึ่งการต่อเชื่อมคอมพิวเตอร์หลายๆเครื่องเข้าด้วยกันนี้ แต่เดิมนั้นเราจะใช้สาย Lan ต่อเข้ากับ Lan card ของเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องเพื่อจะเชื่อมเข้าหา ซึ่งการต่อแบบใช้สายนี้มันมีค่าใช้จ่ายไม่แพงมาก แต่จะยุ่งยากหน่อยก็ตรงที่ในบ้านเรา หรือใน office ที่เราจะเชื่อมต่อนั้น จะต้องเรียกช่างมาเดินสาย Lan เหมือนกับเดินสายไฟภายในบ้าน ซึ่งมันก็วุ่นมากทีเดียวหากเป็นบ้านที่มีคนอยู่แล้ว ต้องมานั่งรื้อข้าวของให้วุ่นวายกันไปหมด

จากนั้นมีผู้คิดค้นวิธีเชื่อมต่อ Lan แบบใหม่ขึ้นมาโดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมโยงสายให้มันวุ่นวาย แต่คราวนี้เราจะใช้คลื่นเชื่อมแทนครับ ฟังแค่นี้ก็ดูน่าสนใจขึ้นมาแล้วใช่ไหมครับ
ด้วยระบบเทคโนโลยี Lan ไร้สาย 802.11 จึงเกิดขึ้นมาบนโลกเบี๊ยวๆใบนี้ โดยการพัฒนาจากสถาบันวิศวกรไฟฟ้า และ อิเลคโทรนิค หรือ Institute of Electrical and Electronics Engineering (IEEE) นั่นเอง เลยทำให้กลายเป็นศัพท์ใหม่ที่เห็นกันบ่อยๆว่า IEEE 802.11 ซึ่งก็ได้มีการพัฒนากันมาเรื่อยจาก 802.11 ธรรมดามาเป็น 802.11b 802.11a 802.11g ซึ่งมันจะต่างกันเรื่องของความเร็วในการรับส่งข้อมูลเป็นหลัก

Wi-Fi ก็คือองค์กรหนึ่ง ที่ทดสอบผลิตภัณฑ์ Wireless Lan หรือระบบ Network แบบไร้สาย ภายใต้เทคโนโลยีการสื่อสาร ภายใต้มาตราฐาน IEEE 802.11 ว่าอุปกรณ์ทุกตัวซึ่งต่างยี่ห้อกันนั้นมันสามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยไม่ มีปัญหา หากว่าอุปกรณ์ตัวนั้นมันผ่านตามมาตราฐานเขาก็จะปั๊ม ตรา WIFI certified ซึ่งเป็นอันรู้กันว่าอุปกรณ์ชิ้นนั้นสามารถติดต่อสื่อสารกับอุปกรณ์ตัวอื่น ที่มีตรา WIFI certified นี้ได้เช่นกัน แต่ทำไปทำมามันกลายเป็นคำศัพท์สำหรับ อุปกรณ์ Lan ไร้สาย ไปโดยปริยาย จนบางคนก็เรียกกันติดปาก

เช่น Notebook ตัวนี้ หรือ PDA ตัวนี้มันมี WiFi ด้วยหละ! นั่นก็หมายความว่า อุปกรณ์ชิ้นนั้นมันสามารถติดต่อสื่อสารกับเครื่องตัวอื่นในระบบ Network แบบไร้สายได้ โดยอยู่ภายใต้มาตราฐานเทคโนโลยี 802.11

แล้วเลข 802.11 มันคืออะไร ซึ่งผมเชื่อว่ามันต้องเป็นคำถามต่อมาอย่างแน่นอน สำหรับเลข 802.11 นั้นก็เป็น เทคโนโลยีมาตราฐานแบบเปิดซึ่งกำหนดโดย Institute of Electrical and Electronics Engineering (IEEE) โดยเลขหลักตัวหน้ามันจะเหมือนๆกัน แต่ความแตกต่างของเทคโนโลยีจะกำหนดด้วยตัวอักษรด้านหลัง เช่น 802.11b 802.11a 802.11g

ผังงาน (Flowchart)

วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ผังงาน (Flowchart) [ refer. ]
เว็บเพจหน้านี้สนใจผังงานโปรแกรม มากกว่าผังงานระบบ .. เพื่อเสริมบทเรียน สอนเขียนโปรแกรม

Process Symbol

Input/Output Symbol

Decision Symbol

Terminal Symbol

Document Symbol

Connector Symbol

ความหมายของผังงาน
ผังงาน (Flowchart) คือ รูปภาพ (Image) หรือสัญลักษณ์(Symbol) ที่ใช้เขียนแทนขั้นตอน คำอธิบาย ข้อความ หรือคำพูด ที่ใช้ในอัลกอริทึม (Algorithm) เพราะการนำเสนอขั้นตอนของงานให้เข้าใจตรงกัน ระหว่างผู้เกี่ยวข้อง ด้วยคำพูด หรือข้อความ ทำได้ยากกว่าเมื่อใช้รูปภาพ หรือสัญลักษณ์
ผังงานแบ่งได้ 2 ประเภท
1. ผังงานระบบ (System Flowchart)
คือ ผังงานที่แสดงขั้นตอนการทำงานในระบบอย่างกว้าง ๆ แต่ไม่เจาะลงในระบบงานย่อย
2. ผังงานโปรแกรม (Program Flowchart)
คือ ผังงานที่แสดงถึงขั้นตอนในการทำงานของโปรแกรม ตั้งแต่รับข้อมูล คำนวณ จนถึงแสดงผลลัพธ์
ประโยชน์ของผังงาน
1. ทำให้เข้าใจ และแยกแยะปัญหาได้ง่าย (Problem Define)
2. แสดงลำดับการทำงาน (Step Flowing)
3. หาข้อผิดพลาดได้ง่าย (Easy to Debug)
4. ทำความเข้าใจโปรแกรมได้ง่าย (Easy to Read)
5. ไม่ขึ้นกับภาษาใดภาษาหนึ่ง (Flexible Language)

ตัวอย่างผังงานระบบไฟแดง
การโปรแกรมแบบมีโครงสร้าง หรือ การโปรแกรมโครงสร้าง ประกอบด้วยอะไรบ้าง
ผมขอตอบอย่างสั้น ๆ ว่าทุกภาษาต้องมีหลักการ 3 อย่างนี้คือ การทำงานแบบตามลำดับ(Sequence) การเลือกกระทำตามเงื่อนไข(Decision) และ การทำซ้ำ(Loop) แม้ตำราหลาย ๆ เล่มจะบอกว่า decision แยกเป็น if กับ case หรือ loop นั้นยังแยกเป็น while และ until ซึ่งแตกต่างกัน แต่ผมก็ยังนับว่าการเขียนโปรแกรม แบบมีโครงสร้างนั้น มองให้ออกแค่ 3 อย่างก็พอแล้ว และหลายท่านอาจเถียงผมว่าบางภาษาไม่จำเป็นต้องใช้ Structure Programming แต่เท่าที่ผมศึกษามา ยังไม่มีภาษาใด เลิกใช้หลักการทั้ง 3 นี้อย่างสิ้นเชิง เช่น MS Access ที่หลายคนบอกว่าง่าย ซึ่งก็อาจจะง่ายจริง ถ้าจะศึกษาเพื่อสั่งให้ทำงานตาม wizard หรือตามที่เขาออกแบบมาให้ใช้ แต่ถ้าจะนำมาใช้งานจริง ตามความต้องการของผู้ใช้แล้ว ต้องใช้ประสบการณ์ในการเขียน Structure Programming เพื่อสร้าง Module สำหรับควบคุม Object ทั้งหมดให้ทำงานประสานกัน
1. การทำงานแบบตามลำดับ(Sequence) : รูปแบบการเขียนโปรแกรมที่ง่ายที่สุดคือ เขียนให้ทำงานจากบนลงล่าง เขียนคำสั่งเป็นบรรทัด และทำทีละบรรทัดจากบรรทัดบนสุดลงไปจนถึงบรรทัดล่างสุด สมมติให้มีการทำงาน 3 กระบวนการคือ อ่านข้อมูล คำนวณ และพิมพ์ 2. การเลือกกระทำตามเงื่อนไข(Decision or Selection) : การตัดสินใจ หรือเลือกเงื่อนไขคือ เขียนโปรแกรมเพื่อนำค่าไปเลือกกระทำ โดยปกติจะมีเหตุการณ์ให้ทำ 2 กระบวนการ คือเงื่อนไขเป็นจริงจะกระทำกระบวนการหนึ่ง และเป็นเท็จจะกระทำอีกกระบวนการหนึ่ง แต่ถ้าซับซ้อนมากขึ้น จะต้องใช้เงื่อนไขหลายชั้น เช่นการตัดเกรดนักศึกษา เป็นต้น ตัวอย่างผังงานนี้ จะแสดงผลการเลือกอย่างง่าย เพื่อกระทำกระบวนการเพียงกระบวนการเดียว 3. การทำซ้ำ(Repeation or Loop) : การทำกระบวนการหนึ่งหลายครั้ง โดยมีเงื่อนไขในการควบคุม หมายถึงการทำซ้ำเป็นหลักการที่ทำความเข้าใจได้ยากกว่า 2 รูปแบบแรก เพราะการเขียนโปรแกรมแต่ละภาษา จะไม่แสดงภาพอย่างชัดเจนเหมือนการเขียนผังงาน ผู้เขียนโปรแกรมต้องจินตนาการด้วยตนเอง

Question 1
- พิมพ์เลข 0 ถึง 4 ทางจอภาพ

ตัวอย่างผังงาน

Question 2
- รับค่าจากแป้นพิมพ์เก็บลงตัวแปรอาร์เรย์ 5 ตัว
- แล้วทำซ้ำอีกครั้ง เพื่อหาค่าสูงสุด
ตัวอย่างผังงาน
Detail
1. กำหนดค่าเริ่มต้นให้ max, i และ ar
2. ทำซ้ำเพื่อรับค่าเก็บใน ar ให้ครบ 5 ครั้ง
3. กำหนดค่าเริ่มต้นให้ i อีกครั้ง
4. ทำซ้ำเพื่อนำค่าที่เก็บไว้ใน ar มาหาค่า max
5. พิมพ์ค่าสูงสุด ที่หาได้

Question 3
- พิมพ์พีระมิดของตัวเลขดังตัวอย่าง

Result
1
12
123
1234
12345


Source Code
$i = 1;
while ($i <= 5){
$j = 1;
while ($j <= $i) {
echo $j;
$j++;
}
echo "
";
$i++;
}
?>

Download : diaflowchart01.dia
Dia - Diagram Drawing ใน ซีดีจันทรา (Download : Dia + GTK)
Dia (ไดอะ) เป็นโปรแกรมวาดภาพกราฟฟิกส์แบบเวกเตอร์ที่ออกแบบมา เพื่อให้ใช้ในการ เขียนไดอะแกรมโดยเฉพาะ สามารถเขียนไดอะแกรมได้หลายชนิดอย่างรวดเร็ว Dia มี ชุดออปเจคที่ช่วยในการวาด Entity Relationship Diagram, UML Diagram, Flowchart Diagram, Network Diagram ,วงจรไฟฟ้าอย่างง่าย ๆ รวมถึงไดอะแกรมอื่น นอกจากนี้ Dia ยังสามารถเพิ่มชุดออปเจคได้ด้วยการเขียนไฟล์ XML
















บทความจาก http://www.thaiall.com

กำเนิด BitTorrent

วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ผู้คิดค้น Bittorrent ชื่อ Bram Cohen โปรแกรมเมอร์หนุ่มชาวอเมริกัน

Bram Cohen เกิดในปี ค.ศ. 1975 (พ.ศ. 2518) เติบโตในย่าน Manhattan เมือง New York City เรียนเขียนโปรแกรมภาษา BASIC ตั้งแต่อายุ 5 ขวบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์เล็กๆ ยี่ห้อ "Timex Sinclair" จบ มัธยมจาก Stuyvesant High School ซึ่งกล่าวได้ว่า เป็น เตรียมอุดม ของ อเมริกา ทีเดียว จำนวนคนที่ได้รางวัล Nobel Prize มาจากสองโรงเรียน มากที่สุด โรงเรียนนี้เป็นหนึ่งในสอง

บุคคล คนนี้ จัดได้ว่า เป็น ราชาของ Geek ได้เลย

สมัยเรียนมัธยม Cohen สอบผ่าน ให้ไปเป็นตัวแทน โอลิมปิคคณิตศาสตร์ ของสหรัฐ ข่าวไม่ได้บอกว่า ไปสอบหรือเปล่า เรียน ไม่จบมหาวิทยาลัย ออกมาทำงานเสียก่อน เมื่อโตขึ้นเข้าเรียน University at Buffalo แต่ลาออกกลางคันมาทำงานให้กับบริษัทประเภท "Dot com" หลายแห่งช่วงราวปี 1997 - 2000 จนมาถึงบริษัท MojoNation

ที่สำนักงานของ MojoNation ยุคนั้นมีระบบแปลงไฟล์งานเป็นรหัสพิเศษแล้วแบ่งออกเป็นชิ้นๆ เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์เครื่องต่างๆ กัน เมื่อพนักงานคนไหนจะใช้ก็จะดึงจากเครื่องต่างๆ นี้มาประกอบรวมกันแล้วแปลงกลับเป็นไฟล์งาน แบรม โคเฮน เกิดปิ๊งไอเดียว่านี่เป็นแนวคิดที่เยี่ยมมากในการดาวน์โหลดไฟล์กันทางอินเทอร์เน็ต จึงเริ่มลงมือเขียนโปรแกรมและพัฒนาระบบตามที่ฝันตั้งแต่นั้นมา

ในปีเดียวกันนั้นเองที่ Cohen ลาออกจาก MojoNation มาพัฒนา BitTorrent อย่างเต็มเวลาร่วมกับเพื่อนที่ชื่อว่า Len Sassaman แล้วเปิดตัวยในงานสัมนาโปรแกรมเมอร์ที่ชื่อว่า "CodeCon conference" เรียกความสนใจได้กว้างขวางอย่างรวดเร็ว

ในปี 2002 ช่วงแรกของการทดลองใช้ Bittorrent โคเฮนแจกภาพโป๊ฟรีเพื่อดึงดูดให้คนมาทดลองใช้โปรแกรมกันมากๆ ต่อจากนั้นโปรแกรมก็แพร่หลายในบรรดาผู้ใช้ระบบ Linux เอาไว้แลกเปลี่ยนไฟล์โปรแกรมที่เป็น Open-source ต่อกัน แต่ Bittorrent ดังเป็นพลุแตกไปทั่วโลกได้ก็เมื่อถูกนำมาใช้แบ่งปันดาวน์โหลดไฟล์หนังและไฟล์เพลงใหญ่ๆ กัน

ปี 2003 แบรม โคเฮน เข้าทำงานเป็นระยะเวลาสั้นๆ ที่บริษัท Valve Software เจ้าของเกมยิงชื่อดัง Half Life เพื่อสร้างระบบ "Steam" ซึ่งเป็นระบบที่ใช้กระจายไฟล์สำหรับเกม Half-Life 2

ปีถัดมาคือ 2004 เขาก็ออกมาก่อตั้งบริษัท BitTorrent Inc. ร่วมกับน้องชายคือ Ross Cohen และหุ้นส่วนชื่อ Ashwin Navin และปี 2005 ก็ได้รับเงินร่วมทุนครั้งใหญ่จาก David Chao วาณิชธนกรจากกองทุนเวนเจอร์แคปิตอลชื่อ Doll Capital Management


BitTorrent สวรรค์ของไฟล์เถื่อน ?

แม้ว่า Bittorrent จะถูกใช้รับส่งไฟล์หนังหรือเพลงที่ละเมิดลิขสิทธิ์อยู่เสมอ แต่โคเฮนก็ย้ำเสมอว่าเขาไม่สนับสนุนการใช้ Bittorrent ในทางผิดกฎหมายและพยายามหาทางป้องกันอยู่เสมอ

ปลายปี 2005 BitTorrent Inc. ทำข้อตกลงกับหน่วยงานรัฐดูแลเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาที่ชื่อว่า MPAA (Motion Picture Association of America) ที่จะคอยป้องกันกำจัดลิงค์ไปยังไฟล์เถื่อนทุกลิงค์ในเว็บไซต์ทางการของ BitTorrent (bittorent.com) ข้อตกลงนี้ร่วมกันเซ็นกับค่ายหนังรายใหญ่ในอเมริกาทั้ง 7 แห่งด้วย เช่น Paramount, 20th Century Fox, Universal โดยอิงกับกฎหมายที่ชื่อว่า "Digital Millennium Copyright Act"

อัจฉริยะออทิสติก

โคเฮนยอมรับว่าเขามีอาการทางประสาทที่เรียกว่า "Asperger's syndrome" คล้ายอาการ Authistic มีอาการชอบทำอะไรซ้ำๆ เป็นกิจวัตร ไวเป็นพิเศษกับแสง เสียง กลิ่น รส ชอบผ้านุ่มๆ และมีปัญหาในการสื่อสารพูดคุย แต่จะมีสมาธิเป็นพิเศษจดจ่อกับเรื่องที่สนใจ จนบางคนก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านเดียวไปเลย

ที่น่าแปลก และน่าสนใจมาก ก็คือ บุคคลคนนี้ มีความผิดปกติทางสมอง ที่เขาเรียกว่า Asperger's Syndrome คือ เป็นความผิดปกติทางพัฒนาการทางสมองในด้านที่เรียกว่า Autism แบบ อ่อนๆ ชนิดหนึ่ง( ไม่แน่ใจว่า ภาษาชาวบ้านของเราเรียกว่า โรคเอ๋อ หรือเปล่า) คนที่มีกลุ่มอาการนี้ มีสติปัญญา อย่างน้อย เท่าคนปกติ แต่มีความสามารถในทางสังคม( social skill) ที่ผิดปกติ หรือต่ำกว่าคนทั่วไป( มักจะเกี่ยวกับทาง จิตใจ อารมณ์และสังคม) พบบ่อยใน ชาย มากว่าหญิง
ลักษณะความผิดปกติ ของกลุ่มอาการนี้คือ

๑ ทางสังคม ขาดความสามารถที่จะแสดงอารมณ์ หรือ การปฎิบัติต่อกันในสังคม คือขาดความเข้าใจในความรู้สึกหรืออารมณ์ที่ละเอียดอ่อน จะไม่เข้าใจ หน้าตา ความรู้สึก ดีใจ เศร้า ฯ มีคนอธิบายว่า พวกนี้ บอดทางจิตใจและอารมณ์ ( mind-blindness)

๒ มีความสนใจที่ แคบ แต่ สนใจอย่างมากๆ ( narrow , intense interests) คือสนใจเรื่องอะไร ก็ชนิดบ้าเรื่องนั้นทีเดียว บทความยกตัวอย่าง สนใจ เรื่องมวยปล้ำ ( สงสัย บรรดาคนที่ ทำ แฟนพันธ์แท้ คงมีพวกนี้อยู่บ้าง) หรือพวกสาขา computer ไดโนเสาร์ ความสนใจอาจจะไม่เปลี่ยน หรืออาจจะเปลี่ยนความสนใจอย่างกระทันหัน คนพบกลุ่มอาการนี้ ( ชาว Austria) เรียกพวกนี้ว่า Little Professor พบว่า คนในกลุ่มนี้ จะมีความสนใจชนิดที่เรียกว่า จำได้เหมือนเห็นรูปภาพ( photographic memory คือคนที่จำได้อย่างแม่นยำมากๆ สามารถบอกได้อย่างละเอียด) และสนใจอย่างสูง( obsessive focus) คนพวกนี้ ไม่สนใจหรือทนที่จะเรียนเรื่องอื่นเลย ในโรงเรียน พวกนี้ จะเป็นคนฉลาดมากในเรื่องๆหนึ่ง แต่จะไม่มีความสามารถหรือสนใจ ที่ทำของทั่วๆไป ในสาขาอื่น เช่นการบ้าน
ฉนั้น คนพวกนี้ เมื่อเอา ปัญหาทางอารมณ์ และความสามารถที่มีอยู่ รวมกัน มันเลยออกมาชนิดที่แปลกมา เช่น เมื่อเจอกัน แทนที่จะกล่าวสวัสดีกัน กลายเป็น พูดพล่ามเรื่องที่เขาสนใจพิเศษเสียยืดยาว

๓ ปัญหาเรื่องการพูดและภาษา ในสาขาที่พวกนี้สนใจมาก เขาพูดได้มาก ขนาดระดับมาจากตำราในมหาวิทยาลัย แม้จะเป็นเด็ก และเด็กพวกนี้ที่มีความสามารถในเรื่อง ภาษา จะใช้ภาษาที่แปลก สวิงสวาย หรือทันสมัยมาก หรืออาจสามารถเขียน เรื่องตลกขบขันได้อย่างดี เป็นต้น

๔ ลักษณะอื่น มีระบบอื่น ที่การพัฒนาไม่เจริญตามปกติ เช่น การเคลื่อนใหว เช่น เดินไม่ค่อยคล่อง หรือเดินท่าแปลกๆ เช่น มือกางๆ หรือในระบบ การรับเสียง ปัญหาที่เขาเรียกว่า Sensory Overload( ไม่ทราบว่าจะแปลว่าอะไร) ในโรงเรียน พวกนี้จะทนเสียงดังๆในห้องไม่ได้ บางคนจะทนเสียงที่ซ้ำๆซากๆไม่ได้ เช่นเสียงนาฬิกาเดิน ในขณะที่เด็กธรรมดา สามารถทำให้เสียงเหล่านี้หายไปจาก สมาธิได้ และสามารถเรียกกลับมาเมื่อสนใจจะฟัง

การที่เด็กพวกนี้ มีปัญหาที่คนอื่นไม่มี เข้ากับเขาไม่ได้ ทำให้เด็กพวกนี้ ต้องสร้างเพื่อนขึ้นมาใน มโนภาพของเขา เป็นเพื่อนที่เขาติดต่อได้ ความสามารถทีพวกนี้ มีมากๆ มีได้หลายสาขา เช่น ภาษา อ่าน คำนวณ ความสามารถพิเศษ และอาจจะถึงระดับพวกที่อัจฉริยะเลย ก็ไม่น้อย หากความสนใจ ของคนพวกนี้ ตรงกับ สิ่งที่สังคมต้องการ เช่น computer อย่าง Bram Cohen นี้ ผลก็คือ เขาจะอยู่ในแนวหน้า และจะได้ผลประโยชน์จากมันอย่างเต็มที่ เพราะ เป็นคนทีมีความสามารถในสาขานั้น

แบรม โคเฮน มีงานอดิเรกคือการพับกระดาษโอริกามิ อ่านและขบคิดเรื่องโจทย์คณิตศาสตร์ซับซ้อน เล่นเกมฝึกสมอง และโยนลูกบอล 5 ลูกสลับพร้อมกัน ทุกวันนี้อาศัยอยู่ใน San Francisco ย่าน Bay Area กับ Jenna ภรรยาและลูกๆ

*อ่านนี้ผมคิดเอง Bram Cohen เขาไม่ได้ออกแบบให้มี Ratio นะจะบอกให้

5 วิธีถนอมทรัมไดร์ฟสุดรัก



คอมพิวเตอร์ทูเดย์ระบุว่าภัยที่เกิดขึ้นกับธัมบ์ไดร์ฟโดยรวมๆคือ ธัมบ์ไดร์ฟสูญหาย ธัมบ์ไดร์ฟเสียหายเพราะโดนไวรัส การถูกดูข้อมูลสำคัญโดยไม่ได้รับอนุญาต และข้อมูลในธัมบ์ไดร์ฟสูญหาย วิธีแก้ไขคือ

1. เก็บไว้ใกล้ตัว-ไม่ต้องกลัวหาย

นับวันธัมบ์ไดรฟ์จะมีขนาดเล็กลง หายง่ายมาก (ถูกขโมยก็ง่ายด้วย) มีไม่น้อยที่มักจะหลงลืมไว้ตามที่ต่างๆ เวลาหยิบออกมาวาง หรือแม้แต่ติดไปกับเครื่องคอมพ์ชาวบ้านเพราะลืมขอคืน บางคนชอบคล้องไว้กับกุญแจ ซึ่งเป็นของที่ชอบทำหายอันดับต้นๆ

วิธีน่าสนใจที่สุดคือ เลือกรุ่นที่มีสายคล้องคอไว้ แม้จะดูไม่สวยงามเท่าไร แต่มันลดโอกาสทำหาย และถูกขโมยได้เกือบ 100% อีกนิดนึง ควรเลือกรุ่นที่สายต่ออยู่กับตัวธัมบ์ไดรฟ์ หลีกเลี่ยงการเลือกใช้รุ่นที่สายคล้องคอผูกกับฝาครอบ

2. ระวังไวรัส

ต้องถือเป็นข้อควรระวังในการใช้งานธัมบ์ไดรฟ์อันดับต้นๆ เพราะโดยพื้นฐานแล้วธัมบ์ไดรฟ์จะมีลักษณะการใช้งานเหมือนกับฟลอปปี้ดิสก์ ซึ่งนั่นหมายความว่า ไวรัสสามารถใช้ธัมบ์ไดรฟ์เป็นสื่อพาหะสำหรับการแพร่กระจายได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเวลาใช้งานธัมบ์ไดรฟ์ คุณควรแน่ใจก่อนว่า เป็นการถ่ายโอนเฉพาะไฟล์ข้อมูลเท่านั้น (ไม่ได้ติดไวรัสมาด้วย)

ประเด็นที่สำคัญก็คือ ควรแน่ใจว่าคุณกำลังเชื่อมต่อธัมบ์ไดรฟ์กับคอมพิวเตอร์ที่รันซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสที่ได้รับการอัพเดตสม่ำเสมอ และในกรณีที่คอมพ์ของคุณรันแอนตี้ไวรัส เวลาต่อกับธัมบ์ไดรฟ์ ซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสในเครื่องคอมพ์จะสแกนธัมบ์ไดรฟ์ให้ด้วย อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่แน่ใจธัมบ์ไดรฟ์ที่รับมา ก็ไม่ควรเชื่อมต่อเข้ากับคอมพ์ของคุณเด็ดขาด

3. เข้ารหัสข้อมูล เพื่อรักษาความลับ

ถ้าหากธัมบ์ไดรฟ์ของคุณหาย นั่นหมายความข้อมูลของคุณตกไปอยู่ในมือของผู้ที่พบมันด้วย และถ้าหากคนผู้นั้นบังเอิญเป็นคู่แข่งคุณโดยตรง อะไรจะเกิดขึ้น ดังนั้น หากคุณใช้ธัมบ์ไดรฟ์เก็บข้อมูลสำคัญ การเข้ารัหสข้อมูลดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้

การเข้ารหัสข้อมูล (Encryption) จะทำให้ข้อมูลเปิดอ่านไม่รู้เรื่องจนกว่าจะได้รับพาสเวิร์ดที่ถูกต้อง ซึ่งควรเลือกเข้ารหัสที่ระดับ 128 บิต เพื่อความปลอดภัย ธัมบ์ไดรฟ์รุ่นใหม่ๆ จะมาพร้อมกับคุณสมบัติการเข้ารหัสข้อมูลมาด้วย แต่อย่าลืมตรวจสอบให้แน่ใจนะครับว่า ซอฟต์แวร์ที่ให้มาไม่ใช่รุ่นทดลอง เพราะไม่เช่นนั้น คุณอาจจะต้องจ่ายตังค์ค่าซอฟต์แวร์ในภายหลัง

4. สำรองข้อมูลให้เป็นนิสัย

ไม่ปฏิเสธครับว่า เวลาธัมบ์ไดรฟ์หาย เราคงรู้สึกไม่ดีแน่นอน แม้ข้อมูลที่อยู่ในนั้นจะได้รับการปกป้องด้วยการเข้ารหัสไว้แล้วก็ตาม แหม...ก็มันต้องเสียเงินอีกแล้วน่ะสิ แต่มันคงรู้สึกเจ็บใจเป็นสองเท่า หากข้อมูลที่อยู่ในนั้นเราไม่เคยได้ทำแบคอัพสำรองเอาไว้เลย

ดังนั้น วิธีที่สุดคือ แนะนำให้คุณสำรองธัมบ์ไดรฟ์ไว้สักสองสามก็อปปี้ เพราะนอกจากพวกมันจะหายง่ายแล้ว ยังเสียง่ายอีกด้วย เนื่องจากธัมบ์ไดรฟ์ส่วนใหญ่จะใช้กรอบเป็นพลาสติก ซึ่งแตกหักได้ง่าย

5 ถอดธัมบ์ไดร์ฟออกจากเครื่องอย่างถูกต้อง

เรื่องของเรื่องคือ ก่อนที่คุณจะดึงธัมบ์ไดรฟ์ออกจากพอร์ตยูเอสบีบนคอมพิวเตอร์ ให้คุณปิดโปรแกรมทุกตัวที่มีการเข้าถึงไฟล์ต่างๆบนธัมบ์ไดรฟ์เสียก่อน จากนั้นคลิกไอคอน Safely Remove Hardware (ที่มีลูกศรสีเขียวปรากฎอยู่ในมุมล่างขวาบนทาสก์บาร์) แล้วคลิกเลือกธัมบ์ไดรฟ์ที่ปรากฏอยู่ในรายการ..



บน: คลิกเลือกยูเอสบีไดรฟ์ที่ต้องการเอาออก ล่าง: สามารถดึงไดรฟ์ออกได้อย่างปลอดภัย

เมื่อคลิกเลือกยูเอสบีไดรฟ์ที่ต้องการเอาออกแล้ว (รูปบน) จะได้รับข้อความแจ้งขึ้นมาว่า “Safe To Remove Hardware” (รูปล่าง) แปลว่า สามารถดึงธัมบ์ไดรฟ์ออกจากระบบได้อย่างปลอดภัย

หลายเสียงยืนยันว่า หากถอดธัมบ์ไดร์ฟจากเครื่องปุบปับโดยไม่มีการทำตามขั้นตอนนี้ ธัมบ์ไดร์ฟเจ๊งมานักต่อนักแล้ว

เพิ่มความเร็วให้คอมทำงานได้เร็วขึ้น

เกล็ดความรู้เล็กน้อยในการเพิ่มความเร็วให้คอมทำงานได้เร็วขึ้น

ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่าผมไม่ได้เก่งหรือมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับความรู้ด้านคอมพิวเตอร์มากมายอะไร
เพียงแต่พอใช้งานให้คอมทำงานได้เต็มที่ตามที่มันควรจะเป็น โดยที่ระบบโดยรวมมีความเสถียรในการ
ทำงาน โดยจะแนะนำตั้งแต่เรื่องพื้นฐานในการดูแลระบบ ให้ทำงานได้ดีที่สุดตามสเป็คเครื่องของแต่ละคน
รวมถึงการปรับแต่งการทำงานของ window ให้ทำงานได้เร็วขึ้น ลองเริ่มกันเลยครับ

ก่อนอื่นเริ่มที่การดูแลรักษาเครื่องคอมของเราให้ทำงานได้เร็ว ซึ่งควรจะทำสิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นประจำ
1. Disk Defragmenter คือการเรียงข้อมูลใน harddisk ให้เป็นระเบียบ ในกานใช้งานเมื่อเราลงโปรแกรมหรือลบ
โปรแกรมออกจากเครื่อง ข้อมูลต่างๆจะกระจายตัวกันออกไปตามตำแหน่งที่โปรแกรมนั้นฝังตัวใน harddisk
เมื่อเราใช้งานโปรแกรมหรือหาข้อมูลบางอย่าง หัวอ่าน harddisk จะเคลื่อนไปตาม disk ที่เก็บข้อมูล
แต่เมื่อข้อมูลมันอยู่กระจายกัน ออกไปเวลาที่ใช้ในการค้นหาจึงใช้เวลามากขึ้นด้วย
และนั่นคือสาเหตุที่เวลาใช้คอมไปนานๆแล้วรู้สึกว่ามันทำงานได้ช้าลง ไม่เหมือนตอนซื้อคอมมาใหม่ๆ
ดังนั้นคุณจึงควรทำการ defrag harddisk บ้างซัก 2 อาทิตย์ครั้งก็ได้ ถ้าไม่ค่อยได้ลงโปรแกรมหรือลบข้อมูลอะไร
ในเครื่องบ่อยนัก วิธีทำคือ click start > program > Accessories> system tools > Disk Defragmenter
ในกรณีย์ที่ไม่เคยทำมาก่อนเลยอาจใช้เวลา 4 -5 ชม ถึงจะเสร็จ หลายคนอาจเบื่อที่ใช้เวลานานแต่มันก็จำเป็น
ต้องทำครับ พอทำบ่อยๆเวลาที่ใช้จะสั้นลง บางกรณีย์ที่เครื่องคอมของคุณมีปัญหาเกี่ยวกับโปรแกรมบางอย่าง
โปรแกรม defrag นี้จะไม่ทำงานแต่โปรแกรม Scandisk จะเริ่มการทำงานแทนก่อนเพื่อซ่อมแซมให้ดีเสียก่อน
จึงจะทำการ defrag ได้ ที่ต้องบอกอย่างละเอียดนี่เพราะผมมีประสบการณ์ที่คนรู้จักกันแกมีลูกชายที่อยู่ใน
วัย ดอตคอมทั่วๆไป ชอบเล่นเน็ทแต่คอมมีปัญหาแล้วได้เรียกผมไปช่วยดูให้ที ปรากฎว่าน้องคนนี้ไม่มีความรู้
พื้นฐานในการดูแลรักษาคอมเลย เล่นเกม , chat อะไรเป็นหมด แต่เห็นที่ startup menu มี icon โหลดตอนบู๊ท
เครื่องเต็มไปหมด ทั้งๆที่ไม่จำเป็นต้องให้มันโหลดตอนเปิดเครื่อง ทำให้ใช้เวลานานเกินจำเป็นในการบู๊ทเครื่อง
defrag เป็นอย่างไรไม่รู้จัก คอมเลยทำงานได้อืดมาก ทั้งๆที่เพิ่ม ram เป็น 256 mb แล้ว
คิดว่าหลายๆคนคงเป็นแบบนี้ใช้งานตามปรกติอย่างเดียว ก็เลยเขียนเกล็ดความรู้นี้ขึ้นมา

2 . Scandisk ทำอาทิตย์ละครั้งวิธีใช้แบบเดียวกับวิธีแรก เรียกโปรแกรมการใช้งานได้จากที่เดียวกัน
การ Scandisk ส่วนมากที่มันจะทำงานให้เห็นก็ตอนที่กดตุ่ม restart ตอนเครื่อง hang จอค้างทำอะไรไม่ได้แล้ว
พอเครื่องไม่มีปัญหาเราเลยไม่ได้สั่งให้มันทำงาน การ scandisk หัวอ่าน harddisk จะกวาดไปทั่วทั้ง disk เพื่อ
ตรวจสอบและซ่อมแซมส่วนที่เสียหายให้ทำงานได้ดีเหมือนเดิม แต่บางครั้งเมื่อมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นแต่เรา
ไม่รู้เห็นว่าเครื่องทำงานปรกติดี ก็ไม่ได้ใส่ใจ จนปัญหานั้นมันแสดงออกมาให้เห็นซึ่งก็อาการหนักแล้ว
หรือไม่ปัญหาบางอย่างทำให้ file ระบบของ window เสียหายได้ถ้าปล่อยไว้ไม่ทำการแก้ไข
การscandisk นี้ยังช่วยยืดอายุของ harddisk ให้ทำงานได้นานขึ้นด้วย
โปรแกรม defrag และ scandisk นี้มาพร้อมกับ window ถ้าต้องการความสะดวกในการใช้งานที่มีคุณสมบัติ
มากกว่านี้ลองใช้โปรแกรม Utility ของ norton หรือ McAfee ก็ได้ หาซื้อได้จากร้านขาย software ทั่วๆไป
ผมพยายามเขียนแบบให้อ่านง่ายไม่ใช้ศัพท์ทางเทคนิคหรืออะไรที่มันเข้าใจยาก ผู้หญิงส่วนมากไม่ค่อยได้
ให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้มากนัก แต่ลองทำดูครับจะเห็นผลได้เลยว่าคอมคุณจะทำงานได้ดีขึ้น

ส่วนต่อไปนี้เป็นเทคนิคในการปรับแต่ง window ให้ทำงานได้เร็วขึ้น

เริ่มกันที่คลิ๊ก start>run>พิมพ์ msconfig > startup> เอาเครื่องหมายถูกออกให้หมด ยกเว้น systemtray,internet.exe
ScanRegistry , TaskMonitor , PC healt หรือถ้าคุณลงโปรแกรม AntiVirus อยู่ก็ให้คงเอาไว้ พวกโปรแกรมนอกเหนือจากนี้
เอาออกให้หมด ไม่ต้องห่วงครับมันยังทำงานได้เหมือนเดิมเพียงแต่ไม่โหลดพร้อมwindow เวลาเปิดเครื่องเท่านั้น
จะทำให้คุณใช้เวลาในการโหลด window น้อยลงไม่ต้องรอนาน
Next คลิ๊กขวาที่ mycom >properties>performance เลือกที่ File System >Hard Disk เปลี่ยน typical role of this
computer เป็น Network server >Apply > ok
คลิ๊กขวาที่ mycom > Properties>Performance เลือก Virtual Memory > Let me specify my own memory setting
แล้วเปลี่ยนที่ minimum และ Maximum ตามสูตรนี้
เอาค่า ram ในเครื่องเราคูณ 2.5 แล้วจะได้ค่าตามตัวอย่าง
EX. ram 64mb x2.5= 160
จะะได้เป็น Minimum=0 , Maximum=160
แต่ถ้ามีram มากกว่า 256 mb ไม่จำเป็นต้องปรับตรงจุดนี้ให้ window มันจัดการเองตาม defalt ที่ตั้งไว้จะดีกว่า
Next การตั้งค่า vcache ใน system.ini
ไปที่ run พิมพ์คำว่า system.ini หาหัวข้อ [ vcache ] แล้วพิมพ์ตามนี้
[ vcache ]
MinFileCache=0
MaxFileCache= เอาจำนวน ram คูณ 125 เช่นมีram 128 ก็เอา 128 x125 =16000 ก็จะได้
MinFileCache=0
MaxFileCache=16000
วิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่มีram มากกว่า 128 ขึ้นไป เพราะมันจะเอาram ไปทำcache หรือเหมือนกับหน่วยความจำชั่วคราว
จะทำให้คอมเร็วขึ้นถึง 40 % ทีเดียว
ลองทดสอบได้โดยเปิดโปรแกรมใดขึ้นมาแล้วปิด จากนั้นให้เรียกใช้งานโปรแกรมอื่น ลองกลับมาเปิดโปรแกรมที่เรียกใช้ไปแล้วปิด
คราวนี้โปรแกรมนั้นจะโหลดทันที เร็วจนสังเกตุเห็นได้เลยครับ